ลุ้นวันนี้ เคาะแจกเงินเพิ่ม
หลังจากการประชุม สำหรับการออกมารตรการช่วยเหลือ สำหรับรอบใหม่ ของประชาชน 13 จังหวัด
โดย วันที่ 27 กรกฎาคม 2564 มีรายงานว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรัฐมนตรี จะมีการประชุมเพื่อขย ายขอบเขตการช่วยเหลือเยียวยากลุ่มแ รงงานและผู้ประกอบการ จากที่ก่อนหน้านี้มีเพียง 10 จังหวัด
แต่จะเพิ่มเป็น 13 จังหวัด โดย 3 จังหวัดที่เพิ่มเข้ามานั้นได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และพระนครศรีอยุธย า ซึ่งแรงงานกลุ่มนี้ จะครอบคลุมทั้งหมด 9 กิจการ ให้เงินประกันสังคมเยียว ยา ทั้งหมด 1 เดือน
ลูกจ้างและนายจ้างที่อยู่ในประกันสังคมมาตรา 33
ผู้ประกันตนมาตรา 39
ฟรีแลนซ์และคนทำงานอิสระ ให้สมัครประกันสังคมมาตรา 40 โดยผู้ที่ไม่ได้เป็นผู้ประกันตนก่อนวันที่ 28 มิถุนายน 2564 ให้รีบสมัครภายในวันที่ 30 กรกฎาคม 2564
กิจการใดบ้างที่ได้รับความช่วยเหลือ
ประกันสังคม
– กิจการก่อสร้าง
– กิจการที่พักแรมและบริการด้านอาหาร
– กิจกรรมศิลปะ ความบันเทิงและนันทนาการ
– กิจกรรมบริการด้านอื่น ๆ
– สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า
– สาขาขายส่งและการขายปลีก
– สาขาการซ่อมย านยนต์
– สาขากิจกรรมการบริหารและบริการสนับสนุนวิชาชีพ วิทยาศาสตร์และกิจกรรมทางวิชาการ
– สาขาข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร
สำหรับลูกจ้าง ม.33 จะได้รับเงินจากรัฐบาล 2,500 บาททุกคน แต่สำหรับคนที่กิจการถูกสั่งปิด ได้รับผลกระทบ ไปทำงานไม่ได้ ประกันสังคมจะช่วยจ่ายเพิ่มอีก 50%
ของฐานเงินเดือน แต่ไม่เกิน 7,500 บาท ดังนั้น ลูกจ้าง ม.33 มีโอกาสได้เงินสูงถึง 10,000 บาท
คนที่อยู่ในประกันสังคม ม.39 ม.40 จะได้เงินช่วยเหลือคนละ 5,000 บาท
ทำอย่างไรให้ได้เงินเร็ว ๆ
กรณีลูกจ้าง ม.33 สามารถเช็กสิทธิว่าท่านได้รับเงินเยียวยาหรือไม่ ที่นี่ คลิก
ลูกจ้าง ม.33 ที่ได้รับสิทธิแต่กิจการไม่ถูกปิด แนะนำให้ท่านรีบไปผูกบัญชีพร้อมเพย์แบบบัตรประชาชนกับบัญชีธนาคารโดยด่วน เนื่องจากคาดว่า จะมีการโอนเงินในวันที่ 6 สิงหาคม 2564 (วิธีผูกบัญชีพร้อมเพย์ คลิกที่นี่ )
ลูกจ้าง ม.33 ที่ได้รับสิทธิและกิจการไม่ถูกปิด นายจ้างต้องรีบขึ้นทะเบียน e-Service เพื่อแจ้งว่ากิจการถูกปิด ไม่สามารถจ่ายค่าจ้างได้ และระบุให้ชัดว่ามีลูกจ้างกี่คน หยุดงานตั้งแต่วันไหนถึงวันไหน และให้ลูกจ้างกรอกแบบ สปส.2-01/7
แนบสมุดบัญชีออมทรัพย์ ส่งให้นายจ้างเพื่อส่งให้ประกันสังคม ภายใน 3 วันหลังจากที่นายจ้างลงทะเบียน e-Service
ทั้งนี้ ประกันสังคมจะช่วยจ่ายค่าจ้างในกรณีนี้ เป็นเงิน 50% ของฐานเงินเดือน แต่ไม่เกิน 7,500 บาท ทั้งคนไทยและต่างชาติ แต่คนไทยจะได้รับเงิน 2,500 บาทช่วยเหลือจากรัฐบาลเพิ่มเติม นั่นทำให้ลูกจ้างไทยได้รับเงินสูงสุด 10,000 บาท