ลูกหนี้เตรียมเฮ เคาะกฏหมายช่วยเหลือเเล้ว
น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขณะนี้ ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่กฎหมายสำคัญ 2 ฉบับ ให้มีผลบังคับใช้แล้ว โดยฉบับแรก คือ พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 และมีผลบังคับใช้แล้ว เพื่อป้องกันเจ้าหนี้เรียกดอกเบี้ยจากลูกหนี้สูงเกินจริง ซึ่งกฎหมายหมายฉบับเดิม ตั้งแต่ปี 2468 มีการคิดอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ไม่สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยใน
สภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน ส่งผลให้เกิดปัญหาต่างๆ ทั้งลูกหนี้ได้รับความเดือดร้อนจากภาระดอกเบี้ยที่สูงเกินควร เจ้าหนี้บางรายอาศัยความไม่ชัดเจน กำหนดให้ลูกหนี้เมื่อผิดนัดงวดใดงวดหนึ่ง ต้องจ่ายดอกเบี้ยบนเงิน
ต้นทั้งหมด และยังสร้างความเหลื่อมล้ำและไม่เป็นธรรมด้วย
สำหรับสาระสำคัญของกฎหมาย เป็นการปรับปรุงอัตราดอกเบี้ยตามกฎหมาย คือ 1. อัตราดอกเบี้ยที่ไม่ได้กำหนดไว้ก่อนหรือไม่ได้มีกฎหมายกำหนด (แก้ไข มาตรา 7) ปรับลดจากอัตรา 7.5% ต่อปี เป็นอัตรา 3% ต่อปี
ซึ่งกระทรวงการคลัง จะทบทวน ทุก 3 ปี ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ 2.อัตราดอกเบี้ยผิดนัด (แก้ไข มาตรา 224) ปรับลดจาก 7.5% ต่อปี เป็นอัตรา 5% ต่อปี ซึ่งอัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลงนี้ เป็นอัตราที่กำหนดตาม
มาตรา 7 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ 3% ต่อปี บวกด้วยอัตราเพิ่ม 2% ต่อปี และ 3. กำหนดฐานการคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ เมื่อลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้ในงวดใดงวดหนึ่ง เจ้าหนี้คำนวณดอกเบี้ย
ผิดนัดได้เฉพาะจากเงินต้นของงวดที่ลูกหนี้ผิดนัดแล้วเท่านั้น จากเดิมที่มาตรา 224/1 ไม่ได้กำหนดไว้ ส่งผลให้เจ้าหนี้คิดดอกเบี้ยจากเงินต้นที่ค้างอยู่ทั้งหมด
ส่วนอีกฉบับ คือ พระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2564 เป็นการตัดวงเงินที่เหลือจากพระราชกำหนดฯ ฉบับ พ.ศ.
2563 โดยฉบับล่าสุดประกอบด้วย 2 มาตรการ คือ 1. มาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการธุรกิจ (สินเชื่อฟื้นฟู) วงเงิน 250,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการช่วยผู้ประกอบการที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างเต็มที่
ทั้งที่เป็นลูกหนี้เดิมและลูกหนี้ใหม่ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อนำมาเสริมสภาพคล่องในกิจการได้มากขึ้น ขยายเวลา ขยายวงเงิน ขยายการชดเชยรองรับความเสี่ยงที่สูงขึ้น และกำหนดดอกเบี้ยให้เหมาะสม
2. มาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์ชำระหนี้ และให้สิทธิลูกหนี้ซื้อคืน (โครงการพักทรัพย์ พักหนี้) วงเงิน 100,000 ล้านบาท เพื่อช่วยผู้ประกอบการธุรกิจที่ได้รับผลกระทบรุนแรง และต้องใช้เวลานานในการฟื้นตัวแต่
ยังมีศักยภาพและมีหลักประกัน เป็นการลดความเสี่ยงในการขายทรัพย์สินในราคาต่ำเกินไป และช่วยให้ธุรกิจกลับมาเปิดกิจการได้ต่อไป
น.ส.รัชดา กล่าวว่า รัฐบาลมีความจำเป็นต้องออกพระราชกำหนดทั้งสองฉบับ ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการดูแลช่วยเหลือประชาชนและเอกชน มุ่งเป้าเพื่อการบรรเทาภาระลูกหนี้ทั่วไปที่ต้องแบกรับอัตราดอกเบี้ย
ผิดนัดที่ไม่เป็นธรรมและการคิดคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดอย่างโหดร้าย และช่วยภาคธุรกิจให้เดินหน้าต่อไปได้โดยขั้นตอนทางกฎหมายลำดับต่อไป คณะรัฐมนตรีต้องเสนอพระราชกำหนดดังกล่าวต่อรัฐสภาเพื่อพิจารณา